นางสาวศรัญญา สุริยะ

นางสาวศรัญญา  สุริยะ

วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

Search Engine

จงอธิบายคำว่า  Search  Engine

 Search Engine หมายถึง เครื่องมือสืบค้นที่มีระบบการทำงานโดยใช้โปรแกรมที่เรียกว่า Spider หรือ Robot ท่องไปในเว็บเพจต่าง ๆ เพื่ออ่านข้อมูลและจัดเก็บเว็บเพจที่พบเข้าสู่ฐานข้อมูล ทำให้ฐานข้อมูลมีขนาดใหญ่ แสดงผลลัพธ์จากการสืบค้นได้มาก ปัจจุบัน Search Engine ที่ได้ชื่อว่าเก็บข้อมูลได้มากที่สุดเป็นจำนวนกว่า หนึ่งพันล้านเพจ คือGoogle

Search Engine หมายถึง เครื่องมือการค้นหาข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ต ที่ทุกคนสามารถเข้าไปค้นหาข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ตก็ได้ โดย กรอก ข้อมูลที่ต้องการค้นหา หรือ Keyword (คีเวิร์ด) เข้าไปที่ช่อง Search Box แล้วกด Enter แค่นี้ข้อมูลที่เราค้นหาก็จะถูกแสดงออกมาอย่างมากมายก่ายกอง เพื่อให้เราเลือกข้อมูลที่เราโดนใจที่สุดเอามาใช้ งาน โดยลักษณะการแสดงผลของ Search Engine นั้นจะทำการแสดงผลแบบ เรียงอันดับ Search Results ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเรา

Search Engine หมายถึง เครื่องมือการค้นหาข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ต ที่ทุกคนสามารถหาข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ตก็ได้ โดยกรอก ข้อมูลที่ต้องการค้นหา หรือ Keyword (คีย์เวิร์ด) เข้าไปที่ช่อง Search Boxแล้วกด Enter แค่นี้ข้อมูลที่เราค้นหาก็จะถูกแสดงออกมาอย่างมากมาย เพื่อให้เราเลือกข้อมูลตรงกับความต้องการของเรามากที่สุด โดยลักษณะการแสดงผลของ Search Engine นั้นจะทำการแสดงผลแบบ เรียงอันดับSearch Results ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเรา

สรุป  Search Engine คือ เครื่องมือการสืบค้นหาข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ต ที่ง่ายต่อการสืบค้นข้อมูลที่เราต้องการ ซึ่งก็มีทั้งข้อความ รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว เพลง ซอฟต์แวร์ แผนที่ ข้อมูลบุคคล กลุ่มข่าว และอื่น ๆ โดยการกรอกข้อมูลที่เราต้องการค้นหา เข้าไปที่ช่อง Search Box แล้วกด Enter ข้อมูลที่เราต้องการก็จะแสดงออกมา และการค้นหาข้อมูลก็มีเทคนิคต่างๆมากมายเพื่อง่ายต่อการค้นหามากขึ้น เช่น การใช้AND หรือ OR เป็นต้น


จงอธิบายคำว่า  E-mail

  E-mail (อีเมล์) หมายถึง จดหมายอิเลคทรอนิกส์ที่ใช้ติดต่อสื่อสารกันในอินเตอร์เน็ต ซึ่งก่อนที่คุณจะมีอีเมล์ใช้นั้นคุณจะต้องมี E-mail Address (ที่อยู่อีเมล์)ของตัวเองเสียก่อน ถ้าคุณใช้บริการอินเตอร์เน็ตโดยการสมัครเป็นสมาชิกโดยตรงกับ ISP (ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต)คุณก็จะได้รับแจ้งที่อยู่อีเมล์ของตัวเองตั้งแต่สมัครสมาชิกเลยแต่ถ้า ISP ไม่ได้ให้มานักเรียน ก็สามารถมีที่อยู่อีเมล์ได้โดยขอได้ฟรีจากผู้ให้บริการอีเมล์ในอินเตอร์เน็ตทั้งที่ฟรี   และไม่ฟรี

เกตเวย์ (Gateway)


เกตเวย์ (Gateway)

เป็นจุดต่อเชื่อมของเครือข่ายทำหน้าที่เป็นทางเข้าสู่ระบบเครือข่ายต่าง ๆ บนอินเตอร์เน็ต ในความหมายของ router ระบบเครือข่ายประกอบด้วย node ของ gateway และ node ของ host เครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ในเครือข่าย และคอมพิวเตอร์ที่เครื่องแม่ข่ายมีฐานะเป็น node แบบ host ส่วนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ควบคุมการจราจรภายในเครือข่าย หรือผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต คือ node แบบ gateway

ในระบบเครือข่ายของหน่วยธุรกิจ เครื่องแม่ข่ายที่เป็น node แบบ gateway มักจะทำหน้าที่เป็นเครื่องแม่ข่ายแบบ proxy และเครื่องแม่ข่ายแบบ firewall นอกจากนี้ gateway ยังรวมถึง router และ switch

เป็นอุปกรณ์ที่มีความสามารถสูงในการเชื่อมต่อเครือข่ายต่างๆ เข้าด้วยกัน โดยสามารถเชื่อมต่อ LAN หลายๆ เครือข่ายที่ใช้โปรโตคอลต่างกัน และใช้สื่อส่งข้อมูลต่างชนิดกันได้อย่างไม่มีขีดจำกัด ตัวอย่างเช่น เชื่อมต่อ Ethernet LAN ที่ใช้สายส่งแบบ UTP เข้ากับ Token Ring LAN ได้

เกตเวย์เป็นเหมือนนักแปลภาษาที่ทำให้เครือข่ายที่ใช้โปรโตคอลต่างชนิดกันสามารถสื่อสารกันได้ หากโปรโตคอลที่ใช้รับส่งข้อมูลของเครือข่ายทั้งสองไม่เหมือนกันเกตเวย์ ก็จะทำหน้าที่แปลงโปรโตคอลให้ตรงกับปลายทางและเหมาะสมกับอุปกรณ์ของฮาร์ดแวร์ที่แต่ละเครือข่ายใช้งานอยู่นั้นได้ด้วย ดังนั้นอุปกรณ์เกตเวย์จึงมีราคาแพงและขั้นตอนในการติดตั้งจะซับซ้อนที่สุดในบรรดาอุปกรณ์เครือข่ายทั้งหมด


default gateway คืออะไร
Default Gateway คือ ทางหลักในการสื่อสารกับ PC ที่อยู่ subnet อื่น โดยส่วนใหญ่แล้วจะหมายถึง PC ที่ทำหน้าที่ DHCP Server ( แจก IP ) เมื่อมีข้อมูลที่ต้องส่งออกไป subnet อื่น ข้อมูลก็จะวิ่งผ่าน Default Gateway

อธิบายกันแบบง่ายๆชาวบ้านๆ มันก็คือ IP address ตัวนึงที่ถูกจองไว้สำหรับใช้เป็นช่องทางในการติดต่อสื่อสารกับเครื่องอื่นๆในเครือข่าย  ปกติแล้วในเครือข่ายเดียวกันหรือวงแลนเดียวกันจะต้องมีเลข default gateway เบอร์เดียวกันไม่งั้นจะเชื่อมต่อข้อมูลกันไม่ได้   และแน่นอนว่าเราไม่สามารถเอาเลข IP ของ default gateway มาใช้เป็น IP เครื่องเราได้

ยกตัวอย่าง default gateway ที่เราเห็นๆกันอยู่ก็คือ ip addrress ของ เราเตอร์เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ทตามบ้าน

เครือข่าย VPN


VPN หรือ Virtual Private Network หมายถึง เครือข่ายเสมือนส่วนตัว ที่ทำงานโดยใช้ โครงสร้างของ เครือข่ายสาธารณะ หรืออาจจะวิ่งบน เครือข่ายไอพีก็ได้ แต่ยังสามารถ คงความเป็นเครือข่ายเฉพาะ ขององค์กรได้ ด้วยการ เข้ารหัสแพ็กเก็ตก่อนส่ง เพื่อให้ข้อมูล มีความปลอดภัยมากขึ้น

อย่างไรก็ดี คำว่า VPN จะครอบคลุมทั้งอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ (เช่น Gateway และ Router), ซอฟต์แวร์ และส่วนที่เป็นไฟร์วอลล์
การเข้ารหัสแพ็กเก็ต เพื่อทำให้ข้อมูล มีความปลอดภัยนั้น ก็มีอยู่หลายกลไกด้วยกัน ซึ่งวิธีเข้ารหัสข้อมูล (encryption) จะทำกันที่เลเยอร์ 2 คือ Data Link Layer แต่ปัจจุบัน มีการเข้ารหัสใน IP Layer โดยมักใช้เทคโนโลยี IPSec (IP Security)

ปกติแล้ว VPN ถูกนำมาใช้กับองค์กรขนาดใหญ่ ที่มีสาขาอยู่ตามที่ต่างๆ และต้องการ ต่อเชื่อมเข้าหากัน โดยยังคงสามารถ รักษาเครือข่ายให้ใช้ได้เฉพาะ คนภายในองค์กร หรือคนที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น ลูกค้า, ซัพพลายเออร์ เป็นต้น

นอกจากนี้แล้ว กลไกในการสร้างโครงข่าย VPN อีกประเภทหนึ่ง คือ MPLS (Multiprotocal Label Switch) เป็นวิธีในการส่งแพ็กเก็ต โดยการใส่ label ที่ส่วนหัว ของข้อความ และค่อยเข้ารหัสข้อมูล จากนั้น จึงส่งไปยังจุดหมายปลายทาง เมื่อถึงปลายทาง ก็จะถอดรหัสที่ส่วนหัวออก วิธีการนี้ ช่วยให้ผู้วางระบบเครือข่าย สามารถแบ่ง Virtual LAN เป็นวงย่อย ให้เป็น เครือข่ายเดียวกันได้

ตัวอย่างเช่น บริษัท A ก็จะได้ VPN label A ที่หัวข้อความ ของทุกแพ็กเก็ต บริษัท B ได้รหัสที่หัวข้อความเป็น B เพื่อส่งข้อมูล ข้อมูลที่ส่งออกไป ก็จะวิ่งไปหาปลายทางตาม Label ของตน ซึ่งผู้วางระบบ สามารถเพิ่มกลุ่มในวง VLAN ได้อย่างไม่จำกัด

รูปแบบบริการ VPN
บริการ VPN แบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ

1. Access VPN: เป็นรูปแบบในการเข้าถึงเครือข่าย VPN จากอุปกรณ์เคลื่อนที่ต่างๆ ซึ่งสามารถเข้าถึงเครือข่ายได้ใน 2 ลักษณะ โดยลักษณะแรก เป็นการเข้าถึงจากไคลเอ็นต์ใดๆ ก็ได้ โดยอาศัย ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต เป็นตัวกลาง ในการติดต่อ ซึ่งจะมีการเข้ารหัสในการ ส่งสัญญาณ จากเครื่องไคลเอ็นต์ ไปยังไอเอสพี และลักษณะที่สอง เป็นการเข้าถึง จากเครื่องแอ็กเซสเซิร์ฟเวอร์ (Network Access Server-NAS) โดยเริ่มต้นจาก ผู้ใช้หมุนโมเด็ม ติดต่อมายังไอเอสพี และจากนั้น จะมีการเข้ารหัสข้อมูล และส่งต่อไปยังปลายทาง

2. Intranet VPN: เป็นรูปแบบในการเข้าถึงเครือข่าย VPN ที่ใช้เฉพาะภายในองค์กรเท่านั้น อาทิ การต่อเชื่อมเครือข่าย ระหว่างสำนักงานใหญ่ในกรุงเทพฯ และสาขาย่อย ในต่างจังหวัด เสมือนกับ การทดแทน การเช่าวงจรลีสไลน์ ระหว่าง กรุงเทพกับต่างจังหวัด โดยที่แต่ละสาขา สามารถ ต่อเชื่อมเข้ากับ ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ในท้องถิ่นของตน เพื่อเชื่อมเข้า โครงข่าย VPN ขององค์กรอีกทีหนึ่ง

3. Extranet VPN: เป็นรูปแบบในการเข้าถึงเครือข่าย ที่คล้ายกับ Intranet VPN แต่มีการขยายวงออกไป ยังกลุ่มลูกค้า ซัพพลายเออร์ และพาร์ตเนอร์ เพื่อให้ใช้เครือข่ายได้ จุดสำคัญอย่างหนึ่ง ในการเลือกติดตั้ง VPN คือการเลือก ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ที่วางระบบรักษาความปลอดภัย เป็นอย่างดี มีส่วนอย่างมาก ในการส่งข้อมูลบน VPN ให้ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น เพราะถ้า ไอเอสพี มีระบบรักษาความปลอดภัย ที่รัดกุม ก็จะช่วยให้ ข้อมูลที่ส่งมา มีความปลอดภัยมากขึ้น

ประโยชน์ที่ได้รับจาก VPN

ประโยชน์ของ การติดตั้งเครือข่ายแบบ VPN จะช่วยองค์กร ประหยัดค่าใช้จ่าย เพราะไม่ว่าผู้ใช้องค์กร จะอยู่ที่ใดในโลก ก็สามารถเข้าถึง เครือข่าย VPN ของตนได้ โดยการต่อเชื่อม เข้ากับ ผู้ให้บริการท้องถิ่นนั้นๆ ทำให้ช่วยลด ค่าใช้จ่าย ในการติดต่อสื่อสาร และสามารถ ลดค่าใช้จ่ายในส่วนของ การดูแลรักษาระบบอีกด้วย นอกจากนี้ ระบบเครือข่าย VPN ยังสามารถ ให้ความคล่องตัว ในการเปลี่ยนแปลง เช่น การขยายเครือข่าย ในอนาคต

นอกจากนี้แล้ว ในแง่ของ ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต การออกบริการ VPN ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ที่ช่วยให้ ลูกค้าของไอเอสพี ประหยัดค่าใช้จ่าย และสะดวกสบายมากขึ้น


แหล่งอ้างอิง : http://www.cisco.com

Protocol คืออะไร


Protocol คืออะไร โปรโตคอล คือ ข้อกำหนดซึ่งเป็นมาตรฐาน ใช้สำหรับการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์

Protocol คืออะไร
     โปรโตคอล คือ ข้อกำหนดหรือข้อตกลงในการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์ หรือภาษาสื่อสารที่ใช้เป็น ภาษากลางในการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์ด้วยกัน การที่เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ถูกเชื่อมโยงกันไว้ในระบบจะสามารถติดต่อสื่อสารกันได้นั้น จำเป็นจะต้องมีการสื่อสารที่เรียกว่า โปรโตคอล (Protocol) เช่นเดียวกับคนเราที่ต้องมีภาษาพูดเพื่อให้สื่อสารเข้าใจกันได้ 
โปรโตคอลช่วยให้ระบบคอมพิวเตอร์สองระบบ ที่แตกต่างกันสามารถสื่อสารกันอย่างเข้าใจได้  คือข้อตกลงที่กำหนดเกี่ยว กับการสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างๆ ทั้งวิธีการส่งและรับข้อมูล วิธีการตรวจสอบข้อผิดพลาดของการส่งและรับข้อมูล การแสดงผลข้อมูลเมื่อส่งและรับกันระหว่างเครื่องสองเครื่อง ดังนั้นจะเห็นได้ว่าโปรโตคอลมีความสำคัญมากในการสื่อสารบนเครือข่าย หากไม่มีโปรโตคอลแล้ว การสื่อสารบนเครือข่ายจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้

ตัวอย่างของโปรโตคอล
1. โปรโตคอล HTTP หรือ Hypertext Transfer Protocol จะใช้เมื่อเรียกโปรแกรมบราวเซอร์ (Browser)
2. โปรโตคอล TCP/IP หรือ Transfer Control Protocol/Internet Protocolคือเครือข่ายโปรโตคอลที่สำคัญมากที่สุด เนื่องจากเป็นโปรโตคอลที่ใช้ในระบบเครือข่าย Internet รวมทั้ง Intranet ซึ่งประกอบด้วย 2 โปรโตคอลคือ TCP และ IP
3. โปรโตคอล SMTP หรือ Simple Mail Transfer Protocol คือ โปรโตคอล ที่ใช้ในการรับส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
นอกจากโปรโตคอลที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมีโปรโตคอลต่างๆอีกมากมาย เช่น การโอนย้ายแฟ้มระหว่างกัน ใช้โปรโตคอลชื่อ FTP หรือ File Transfer Protocol การโอนย้ายข่าวสารระหว่างกันก็ใช้โปรโตคอลชื่อ NNP หรือ Network News Transfer Protocol และยังมีโปรโตคอลที่สำคัญสำหรับการสอบถามข้อมูลข่าวสารระหว่างกัน ซึ่งเป็นโปรโตคอลที่มีประโยชน์มาก โปรโตคอลนี้มีชอว่า ICMP หรือ Internet Control Message Protocolเป็นต้น



ข้อมูลอ้างอิง
http://www.freewebs.com
http://www.ismed.or.th

www คืออะไร


www คืออะไร


เวิลด์ไวด์เว็บ
 (อังกฤษ: World Wide Web, WWW, W3 ; หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า "เว็บ") คือพื้นที่ที่เก็บข้อมูลข่าวสารที่เชื่อมต่อกันทางอินเทอร์เน็ต โดยการกำหนด URLคำว่าเวิลด์ไวด์เว็บมักจะใช้สับสนกับคำว่า อินเทอร์เน็ต โดยจริงๆแล้วเวิลด์ไวด์เว็บเป็นเพียงแค่บริการหนึ่งบนอินเทอร์เน็ต


มาตรฐานที่ใช้ในเว็บ


มาตรฐานหลักที่ใช้ในเว็บประกอบด้วย 3 มาตรฐานหลักดังต่อไปนี้:

  • Uniform Resource Locator (URL) เป็นระบบมาตรฐานที่ใช้กำหนดตำแหน่งที่อยู่ของเว็บเพจแต่ละหน้า
  • HyperText Transfer Protocol (HTTP) เป็นตัวกำหนดลักษณะการสื่อสารระหว่างเว็บเบราว์เซอร์ และเซิร์ฟเวอร์
  • HyperText Markup Language (HTML) เป็นตัวกำหนดลักษณะการแสดงผลของข้อมูลในเว็บเพจ

องค์กร World Wide Web Consortium (W3C) พัฒนาและดูแลระบบมาตรฐานหลัก และมาตรฐานอื่นๆ ที่ใช้กันในเวิลด์ไวด์เว็บ

URL The Uniform Resource Locators (URL) เป็นเสมือนที่อยู่ของเอกสารบนเว็บ ทุกๆ เอกสารจะต้องมี URL เป็นของตัวเอง แต่ละส่วนของ URL เป็นสิ่งที่ใช้ระบบข้อมูลเกี่ยวกับที่ตั้งของเอกสาร ตัวอย่างเช่น

http://www.xvlnw.com
http://www.xvlnw.com/index.php?name=download

แต่ละ URL ประกอบไปด้วยส่วนพื้นฐาน 3 ส่วน คือ Protocol, Server Machine และ File 
Protocol ที่นิยมใช้ เช่น http:// , ftp:// , gopher:// , news://
Server machine อาจเป็นชื่อเครื่อง หรือ เลข IP ก็ได้ หรือบางครั้งอาจมีเครื่องหมาย : (Colon) ตามด้วยหมายเลข อยู่ต่อจาก Server machine เช่น proxy.chiangmai.ac.th:8080 เป็นต้น ซึ่งตัวเลขนั้นหมายถึง Port ที่ใช้ในการับส่งข้อมูลสำหรับ Web Server โดยปกติแล้ว Port มาตรฐานของ Web Servers คือ 80 ซึ่งจะระบุหรือไม่ก็ได้
File หากไม่มีการระบุชื่อไฟล์แล้ว Web Server จะมองหาไฟล์ที่ชื่อ index.html แล้วส่งไปให้ Web browser โดยอัตโนมัติ (หรือชื่ออื่นๆ ตามการกำหนดเงื่อนไขของแต่ละ Web Server)

4G คืออะไร มีประโยชน์กับเราอย่างไร


4G คืออะไร มีประโยชน์กับเราอย่างไร


4G คือเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายผ่านอุปกรณ์แบบเคลื่อนที่ (โทรศัพท์มือถือและแทบเล็ต) ในยุคที่ 4 หรือ 4th Generation Mobile Communications อาจจะเรียกในอีกชื่อหนึ่งว่า LTE (Long Term Evolution) แต่เดิมได้ถูกวางไว้เป็นระบบ 3.9G แต่ต่อมาได้ถูกพัฒนาความเร็วการเชื่อมต่อให้มากขึ้นและเปลี่ยนชื่อเป็นระบบ 4G นั่นเอง
จุดกำเนิดของระบบ 4G
ระบบ 4G ถูกกำหนดมาตรฐานขึ้นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.2008 โดย International Telecommunications Union-Radio communications sector (ITU-R) โดยเรียกข้อกำหนดนี้ว่า The International Mobile Telecommunications Advanced specification (IMT-Advanced) ซึ่งได้กำหนดความเร็วของระบบ 4G ไว้ที่ 1Gbps แต่ด้วยขีดจำกัดทางด้านเทคโนโลยีและความพร้อมของผู้ให้บริการ จึงทำให้ระบบ 4G ในปัจจุบัน (ซึ่งถือว่าเป็นยุคเริ่มต้น) ทั้ง 2 ระบบคือทั้งแบบ WiMAX และ LTE ยังไม่สามารถทำความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลได้สูงตามข้อกำหนด IMT-Advanced โดยทำได้เพียง 100-120 Mbps เท่านั้น แต่คาดว่าเมื่อ WiMAX Release 2 ถูกประกาศใช้ จะสามารถทำความเร็วได้ตามข้อกำหนดข้างต้น โดยอาจจะมีชื่อเรียกว่าระบบ 5G
ความเร็วของระบบ 4G
ตามที่ได้กล่าวข้างต้น ระบบ 4G ตามมาตรฐาน IMT-Advanced จะต้องสามารถรับ-ส่งข้อมูลได้ที่ระดับ 1 Gbps แต่ปรากฏว่าเทคโนโลยีปัจจุบันยังไม่สามารถทำได้ ดังนั้นการให้บริการระบบ 4G ในปัจจุบันจึงให้บริการที่ความเร็วในการดาวน์โหลดสูงสุดที่ 100 Mbps และอัพโหลดที่ระดับความเร็ว 50 Mbps เป็นหลัก
ประโยขน์ของระบบ 4G
เนื่องจากการรับส่งข้อมูลความเร็วสูงผ่านระบบไร้สายของระบบ 4G ทำให้เราสามารถใช้งานระบบ 4G ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งทางด้านภาพและเสียง เช่น การดาวน์โหลดหรือรับชมวิดีโอ/ภาพยนต์แบบความคมชัดสูง (HD) การเรียนการสอนทางไกลผ่านระบบโทรศัพท์ไร้สาย การรักษาพยาบาลในแหล่งทุรกันดาน การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของเกษตรกรและอาชีพอื่นๆ นอกจากนี้ยังช่วยให้อุปกรณ์พกพาเช่น โทรศัพท์มือถือ แทบเล็ต และ notebook computer สามารถทำงานได้อย่างเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
จากประโยชน์ของระบบ 4G ที่มากมายข้างต้น ทำให้ประเทศต่างๆหันมาใช้ระบบนี้กันอย่างแพร่หลาย ทั้งสหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลี สิงค์โปร์หรือแม้กระทั่งเพื่อบ้านใกล้ชิดของเราอย่างประเทศลาวก็มีการเปิดให้บริการระบบโทรศัพท์ 4G แล้ว แต่สำหรับประเทศไทยของเรา ทางบริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) ก็กำลังเริ่มทดสอบระบบนี้เช่นกัน โดยทดสอบบนคลื่นความถี่ 1800 และ 2300 MHz คาดว่าอีกำม่นานประเทศของเราน่าจะมีระบบโทรศัพท์ 4G ใช้งานกัน
ส่วนโทรศัพท์เคลื่อนที่และแทบเล็ตที่รองรับการทำงานในระบบ 4G นั้นมีอยู่เกือบจะทุกยี่ห้อ ทั้ง iPhone, iPad, Samsung Galaxy, LG และ HTC เป็นต้น

รูปแบบของการเชื่อมต่อเพื่อการสื่อสารข้อมูล

รูปแบบของการเชื่อมต่อเพื่อการสื่อสารข้อมูล
การเชื่อมต่ออุปกรณ์สื่อสารเพื่อสื่อสารข้อมูลจากจุดหนึ่งไปยังอักจุดหนึ่งนั้น สามารถทำได้หลายรูปแบบขึ้นอยู่กับความเหมาะสม
1. การเชื่อมต่อแบบจุดต่อจุด (Point to Point)
เป็นการเชื่อมต่อแบบพื้นฐาน โดยต่อจากอุปกรณ์รับหรือส่ง 2 ชุด ใช้สายสื่อสารเพียงสายเดียวมีความยาวของสายไม่จำกัด เชื่อมต่อสายสื่อสารไว้ตอลดเวลา (Lease Line) ซึ่งสายส่งอาจจะเป็นชนิดสายส่งทางเดียว (Simplex) สายส่งกึ่งทางคู่ (Half-duplex) หรือสายส่งทางคู่แบบสมบูรณ์ (Full-duplex) ก็ได้
2. การเชื่อมต่อแบบหลายจุด (Multipoint)
เนื่องจากค่าเช่าช่องทางในการส่งผ่านข้อมูลต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง การเชื่อมต่อแบบจุดต่อจุดนั้นสิ้นเปลืองสายสื่อสารมากการส่งข้อมูลไม่ได้ใช้งานตลอดเวลา จึงมีแนวความคิดที่จะใช้สายสื่อสารเพียงสายเดียวแต่เชื่อมต่อกับหลายๆ จุด ซึ่งทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่า ลักษณะการเชื่อมต่อแบบหลายจุดแสดงให้เห็นได้ดังรูป

Network Topology
โครงสร้างของเครือข่าย (Network Topology) จะอธิบายถึงแผนผังการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ตามลักษณะทางกายภาพ (Physical Topology) หรือทางตรรกะ (Logical Topology) ซึ่งจะแสดงถึงตำแหน่งของคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เครือข่ายอื่น ๆ และเส้นทางการเชื่อมต่อของอุปกรณ์เหล่านี้
1. โครงสร้างแบบบัส (Bus Network)
      
ลักษณะการเชื่อมต่อแบบนี้จะเป็นแบบอนุกรม โดยใช้สายเคเบิลเส้นเดียว ลากต่อกันไป ทำให้โครงสร้างแบบนี้มีจุดอ่อนก็คือเมื่อคอมพิวเตอร์ตัวใดตัวหนึ่งมีปัญหากับสายเคเบิล ก็จะทำให้เครื่องรวนไปทั้งระบบ ข้อดีของโครงสร้างแบบนี้ก็คือไม่ต้องมีอุปกรณ์อย่างเช่น ฮับ/สวิทช์ ใช้สายเพียงเส้นเดียวก็เพียงพอแล้ว โครงสร้างแบบนี้จึงเหมาะกับเครือข่ายที่มีขนาดเล็กที่มีจำนวนเครื่องไม่มาก และในปัจจุบันไม่นิยมใช้กันแล้ว
2. โครงสร้างแบบสตาร์ (Star Network)
                
ลักษณะการเชื่อมต่อของโครงสร้างแบบสตาร์นี้ ดูไปแล้วจะคล้ายๆ ดาวกระจาย คือจะมีอุปกรณ์เช่น ฮับ หรือสวิทช์ เป็นศูนย์กลาง ซึ่งการเชื่อมต่อแบบนี้มีประโยชน์คือ ถ้ามีสายเส้นใดเส้นหนึ่งหลุดหรือเสียก็จะไม่มีผลกระทบต่อการทำงานของระบบ นอกจากนี้ถ้าหากเราเพิ่มเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าไปอีกในเครือข่ายก็สามารถทำได้ทันที การต่อแบบนี้เป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน เนื่องจากอุปกรณ์ที่ใช้เป็นศูนย์กลางคือ ฮับ/สวิทช์ ราคาได้ถูกลงอย่างมากแล้วในขณะที่ประสิทธิภาพก็ได้เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่เป็นการเชื่อมต่อจากศูนย์กลางทำให้มีโอกาสที่ระบบเครือข่ายจะล้มเหลวพร้อมกันได้ง่าย
3. โครงสร้างแบบวงแหวน (Ring Network)
                
เป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยสายเคเบิ้ลเพียงเส้นเดียวในลักษณะวงแหวน การรับส่งข้อมูลในเครือข่ายวงแหวนจะใช้ทิศทางเดียวเท่านั้นเมื่อคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งส่งข้อมูล จะส่งไปยังคอมพิวเตอร์เครื่องถัดไปถ้าข้อมูลที่รับมาไม่ตรงตามที่เครื่องคอมพิวเตอร์ ต้นทางระบุ จะส่งผ่านไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องถัดไปซึ่งจะเป็นขั้นตอนอย่างนี้ไป เรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่ปลายทางที่ถูกระบุตามที่อยู่จากเครื่องต้นทาง
4. โครงสร้างแบบเมช (Mesh Topology)
                             
 โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบเมช มีการทำงานโดยเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะมีช่องสัญญาณจำนวนมาก เพื่อที่จะเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆทุกเครื่อง โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์นี้เครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะส่งข้อมูล ได้อิสระไม่ต้องรอการส่งข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ ทำให้การส่งข้อมูลมีความรวดเร็ว แต่ค่าใช้จ่ายสายเคเบิ้ลก็สูงด้วยเช่นกัน
5. โครงสร้างแบบต้นไม้ (Tree Topology)
         
มีลักษณะเชื่อมโยงคล้ายกับโครงสร้างแบบดาวแต่จะมีโครงสร้างแบบต้นไม้ โดยมีสายนำสัญญาณแยกออกไปเป็นแบบกิ่งไม่เป็นวงรอบ โครงสร้างแบบนี้จะเหมาะกับการประมวลผลแบบกลุ่มจะประกอบด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ระดับต่างๆกันอยู่หลายเครื่องแล้วต่อกันเป็นชั้น ๆ ดูราวกับแผนภาพองค์กร แต่ละกลุ่มจะมีโหนดแม่ละโหนดลูกในกลุ่มนั้นที่มีการสัมพันธ์กัน การสื่อสารข้อมูลจะผ่านตัวกลางไปยังสถานีอื่นๆได้ทั้งหมด เพราะทุกสถานีจะอยู่บนทางเชื่อม และรับส่งข้อมูลเดียวกัน ดังนั้นในแต่ละกลุ่มจะส่งข้อมูลได้ทีละสถานีโดยไม่ส่งพร้อมกัน

Wireless
ระบบเครือข่ายไร้สาย หมายถึง เทคโนโลยีที่ช่วยให้การติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง หรือกลุ่มของเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถสื่อสารกันได้ ร่วมถึงการติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์เครือข่ายคอมพิวเตอร์ด้วยเช่นกัน โดยปราศจากการใช้สายสัญญาณในการเชื่อมต่อ แต่จะใช้คลื่นวิทยุเป็นช่องทางการสื่อสารแทน การรับส่งข้อมูลระหว่างกันจะผ่านอากาศ ทำให้ไม่ต้องเดินสายสัญญาณ และติดตั้งใช้งานได้สะดวกขึ้นระบบเครือข่ายไร้สายใช้แม่เหล็กไฟฟ้าผ่านอากาศ เพื่อรับส่งข้อมูลข่าวสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ และระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์เครือข่าย โดยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านี้อาจเป็นคลื่นวิทยุ (Radio) หรืออินฟาเรด (Infrared) ก็ได้

Transmission Mode  (รูปแบบของการส่งสัญญาณข้อมูล)
การส่งสัญญาณข้อมูล สามารถแบ่งได้เป็น 3 รูปแบบ ดังนี้

1. การส่งสัญญาณทางเดียว (Simplex หรือ One-Way Transmission)
การส่งสัญญาณแบบนี้ในเวลาเดียวกันจะส่งได้เพียงทางเดียวเท่านั้น ถึงแม้ว่าตัวส่งจะมีสัญญาณช่องทางก็ตาม ซึ่งมักจะเรียกการส่งสัญญาณทางเดียวนี้ว่า ซิมเพล็กซ์ ผู้ส่งสัญญาณจะส่งได้ทางเดียว โดยที่ผู้รับจะไม่สามารถโต้ตอบได้ เช่น การส่งวิทยุกระจายเสียง การแพร่ภาพโทรทัศน์

2. การส่งสัญญาณกึ่งทางคู่ (Half-Duplex หรือ Either-Way)
การส่งสัญญาณแบบนี้เมื่อผู้ส่งได้ทำการส่งสัญญาณไปแล้ว ผู้รับก็จะรับสัญญาณนั้นหลังจากนั้นผู้รับก็สามารถปรับมาเป็นผู้ส่งสัญญาณแทน ส่วนผู้ส่งเดิมก็ปรับมาเป็นผู้รับแทนสลับกันได้ แต่ไม่สามารถส่งสัญญาณพร้อมกันในเวลาเดียวกันได้ จึงเรียกการส่งสัญญาณแบบนี้ว่า ฮาร์ฟดูเพล็กซ์ (Half Duplex หรือ HD) ได้แก่ วิทยุสนามที่ตำรวจใช้ เป็นต้น

3. การส่งสัญญาณทางคู่ (Full-Duplex หรือ Both way Trasmission)
การส่งสัญญาณแบบนี้สามารถส่งข้อมูลและรับข้อมูลได้พร้อมกันทั้งสองทางในเวลาเดียวกัน เช่น การใช้โทรศัพท์ ผู้ใช้สามารถพูดสายโทรศัพท์ได้พร้อมกัน

Categories of Networks   (ประเภทของเครือข่าย)
·       Local Area Network (LAN)
เป็นเครือข่ายซึ่งอุปกรณ์ทั้งหมดเชื่อมโยงกันอยู่ในพื้นที่ใกล้ๆ กัน เช่น อยู่ภายในแผนกเดียวกัน อยู่ภายในสำนักงาน หรืออยู่ภายในตึกเดียวกัน เป็นต้น โดยส่วนมากแล้วการเชื่อมต่อในระบบแลนจะใช้สายเคเบิลแบบต่างๆ ในการเชื่อมโยงถึงกัน
·       Metropolitan Area Network (MAN)
เป็นระบบเครือข่ายที่มีการเชื่อมต่อกันในระหว่างที่กว้างใหญ่ ครอบคลุมระยะทางเป็น 100 กิโลเมตร ที่มีการติดต่อกันในระยะที่ไกลกว่าระบบแลนและใกล้กว่าระบบแวน เป็นการติดต่อระหว่างเมือง เช่น กรุงเทพฯ กับเชียงใหม่
·       Wide Area Network (WAN)
เป็นเครือข่ายขนาดใหญ่โดยเป็นการรวมเครือข่ายทั้ง LAN และ MAN มาเชื่อมต่อกัน เป็น
เครือข่ายเดียว ดังนั้นเครือข่ายนี้จึงครอบคลุมพื้นที่กว้าง บางครั้งครอบคลุมไปทั่วประเทศ หรือ ทั่วโลก
·       Internet
คือ เครือข่ายนานาชาติ ที่เกิดจากเครือข่ายขนาดเล็กมากมาย รวมเป็นเครือข่ายเดียวทั้งโลก หรือเครือข่ายสื่อสาร ซึ่งเชื่อมโยงระหว่างคอมพิวเตอร์ทั้งหมด ที่ต้องการเข้ามาในเครือข่าย สำหรับคำว่า internet หากแยกศัพท์จะได้มา 2 คำ คือ Inter หมายถึงระหว่าง หรือท่ามกลาง และคำว่า Net มาจาก Network หรือเครือข่าย เมื่อนำความหมายของทั้ง 2 คำมารวมกัน จึงแปลว่า การเชื่อมต่อกันระหว่างเครือข่าย

Connection Oriented  and Connectionless
การสื่อสารแบบ connectionless คือข้อมูลจะถูกแบ่งเป็นชิ้นๆ ตามที่อยู่ปลายทาง แล้วผ่านตัวกลางไปยังปลายทาง อาจจะใช้เส้นทางคนละเส้นทางกันก็ได้ รวมทั้งข้อมูลแต่ละชิ้นอาจจะถึงก่อนหลังแตกต่างกันไปได้ด้วย ทำให้การเริ่มต้นส่งทำได้รวดเร็ว ไม่ต้องเสียเวลาสร้าง Connection แต่ก็มีจุดอ่อนคือ ไม่สามารถรับประกันได้ว่า ข้อมูลถึงปลายทางอย่างถูกต้อง ตัวอย่างงานที่ใช้การสื่อสารแบบ UDP คือ การส่งสัญญาณเสียงdigital, Video
การสื่อสารแบบ Connection Oriented คือมีลักษณะเหมือนกันส่งข้อมูลเสียงทางโทรศัพท์ ต้องมีการสร้าง Connection ก่อน (คล้ายหมุนเบอร์ปลายทาง) จึงจะส่งข้อมูล และเมื่อส่งข้อมูลเสร็จสิ้น ก็จะทำการยุติ Connection (วงหูโทรศัพท์) ทั้งนี้เปรียบเสมือนการส่งข้อมูลทีละชิ้นไปเรื่อยๆ ผู้รับก็รับข้อมูลนั้นๆ ตามลำดับก่อนหลัง ทำให้เสียเวลาในจุดเริ่มต้น แต่การส่งมีความถูกต้อง และรับรองว่าปลายทางได้รับข้อมูล ลักษณะงานที่ติดต่อแบบ TCP ก็คือ e-mail, WWW, FTP

แบบจำลอง OSI (Open System Interconnection:OSI)
ข้อมูลข่าวสารที่ส่งจาก Application บน Computer เครื่องหนึ่ง ไปยัง Application บน Computer จะต้องส่งผ่านแต่ละ Layer ของ OSI Model ตามลำดับ ดังรูป โดย Layer แต่ละ Layer จะสามารถสื่อสารได้กับ Layer ข้างเคียงในขั้นสูงกว่าและต่ำกว่า และ Layer เดียวกันในอีกระบบ Computer เท่านั้น

        
·       Physical Layer
ทำหน้าที่ จัดการเชื่อมต่อ และ การส่งสัญญาณทางไฟฟ้า จากผู้ส่ง ไปยังผู้รับ โดยผ่านสื่อกลาง เช่น สายทองแดง คลื่นวิทยุ สายคู่ตีเกลียว และใยแก้วนำแสงเป็นต้น พิจารณาการส่งข้อมูลเป็น Bit 0 และ 1 จากต้นทาง ไปให้ถึงปลายทาง  
·       Data Link Layer
เลเยอร์นี้มีจุดประสงค์หลักคือพยายามควบคุมการส่งข้อมูลจากโหนดไปสู่อีกโหนด(Note-to-Node Delivery) ให้เสมือนกับว่าไม่มีความผิดพลาดเกิดขึ้น เพื่อให้เลเยอร์สูงขึ้นไปสามารถนำข้อมูลไปใช้ได้อย่างถูกต้อง
วิธีการคือฝ่ายผู้ส่งจะทำการแตกข้อมูลออกเป็นเฟรมข้อมูล (data-frame) โดยจะต้องมีการกำหนดขอบเขตของเฟรม (frame boundary) โดยการเติมบิตข้าไปยังจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของเฟรม จากนั้นทำการส่งเฟรมข้อมูลออกไปทีละชุดและรอรับการตอบรับ (acknowledge frame) จากผู้รับ ถ้าหากมีการสูญหายของเฟรมข้อมูล ซึ่งอาจเนื่องมาจากสัญญาณรบกวนจากภายนอกหรือข้อผิดพลาดอื่นๆ ในกรณีนี้ฝ่ายผู้ส่งจะต้องส่งเฟรมข้อมูลเดิมออกมาใหม่
data link layer ทำหน้าที่ คล้ายผู้ควบคุม การจัดเรียง และสับเปลี่ยนตู้รถไฟของขบวนรถไฟ ก่อนจะออกจากสถานี   และที่สถานีปลายทาง จะทำหน้าที่แจ้งว่าข้อมูลมาถึงอย่างปลอดภัยหรือไม่ ถ้าข้อมูลเสียหาย จะแจ้งขอให้สถานีต้นทาง ส่งข่าวสารมาใหม่
ข้อมูลที่อยู่ใน Layer นี้ จะมีลักษณะเป็น Frame คือมีส่วนหัว (Header) และส่วนท้าย (Trailer) ปะมาด้วย
·       Network Layer
เป็นเลเยอร์ที่ทำหน้าที่หลักเกี่ยวข้องกับการหาเส้นทาง (routing) ในการส่งpacketจากต้นทางไปยังปลายทาง ซึ่งจะมีการสลับช่องทางในการส่งข้อมูลหรือที่เรียกว่า packet switching
ข้อมูลที่อยู่ใน Layer นี้ จะมีลักษณะเป็น Packet
·       Transport Layer
ทำหน้าที่หลายอย่างเหมือน Network Layer ควบคุมคุณภาพ ของข้อมูลที่ได้รับ ให้ถูกต้องทั้งรูปแบบ และลำดับ ถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้น ในระบบเครือข่าย และ ถ้าเครือข่ายล้มเหลว ซอฟต์แวร์ใน Transport Layer จะมองหาเส้นทางอื่น ที่จะสามารถไปยังปลายทาง หรืออาจจัดเก็บข้อมูลที่ส่งไว ้จนกระทั่งการเชื่อมต่อของเครือข่าย ถูกสร้างขึ้นใหม่
·       Session Layer
เป็นระดับที่ผู้ใช้ทำการติดต่อกับข่ายสื่อสาร โดยผู้ใช้ต้องการจะติดต่อกับเครื่องอื่นๆ แล้วการติดต่อจะเกิดขึ้น เมื่อผู้ใช้ใช้คำสั่ง หรือข้อความ ที่กำหนดไว้ ป้อนให้แก่ระบบ จากนั้น ผู้ใช้ก็จะกลายเป็นผู้ใช้ระบบทางไกล ซึ่งจะสามารถ ส่งผ่านข้อความ หรือแลกเปลี่ยนแฟ้มข้อมูล กับระบบได้ ในการสร้างการโต้ตอบ ระหว่างกันได้นี้ ผู้ใช้จะต้องกำหนด รหัสตำแหน่งจุดปลายทาง ที่ต้องการจะติดต่อด้วย
·       Presentation Layer
มีหน้าที่ในการจัดการเข้ารหัส และการแปลงรหัสข้อมูลที่ส่งระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ 2 เครื่องให้เป็นอักขระแบบเดียวกัน อักษรกระพริบ ตัวอักษรกลับสี มีการจัดการ เข้ารหัสการจัดรูปแบบไฟล์พิเศษ ควบคุม Syntax ของข้อมูลที่ส่งเข้า ส่งออก เช่นการเปลี่ยนจากรหัส EBCDIC เป็น ASCII เป็นต้น โดยจัดรูปแบบของจอภาพ และไฟล์ เพื่อให้ผลขั้นสุดท้าย มีลักษณะ ตรงตามความตั้งใจ ของนักเขียนโปรแกรม
Presentation Layer เป็นแหล่งของรหัสควบคุม (Control Code) กราฟิกส์พิเศษ และชุดตัวอักษร ซอฟท์แวร์ในชั้นนี้ จะควบคุมเครื่องพิมพ์ พล็อตเตอร์ และอุปกรณ์ต่อพ่วงอื่น ยกตัวอย่างโปรแกรม Microsoft Windows และ Presentation Manager เป็นสภาวะแวดล้อม ของโปรแกรมที่ทำหน้าที่ของ Presentation Layer
·       Application Layer
ชั้น Application เป็นชั้นบนสุดของแบบจำลอง ISO/OSI เป็นเลเยอร์บนสุดที่ทำงานใกล้ชิดกับผู้ใช้ การทำงานของเลเยอร์นี้จะเกี่ยวข้องกับโปรโตคอลต่างๆ มากมาย ซึ่งจะมีการใช้งานที่เฉพาะตัวแตกต่างกันออกไป มีบริการทางด้านโปรแกรมประยุกต์ต่างๆ ได้แก่ email, file transfer, remote job entry, directory services นอกจากนี้ยังมีการจัดเตรียมฟังก์ชั่นในการเข้าถึงไฟล์และเครื่องพิมพ์ ซึ่งเป็นการแบ่งปันการใช้ทรัพยากรบนระบบเครือข่าย
ข้อมูลที่อยู่ใน Layer นี้ จะมีลักษณะเป็น Message

"อินเตอร์เน็ต”

อินเตอร์เน็ต” ได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของคนเรา ทั้งเด็ก เยาวชน ผู้ใหญ่ หรือแม้แต่ผู้ที่อยู่ในสถานะนักเรียน นักศึกษา ที่ประสงค์จะต้องใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการท่องโลกในอินเตอร์เน็ต หาความรู้ใหม่ๆ หรือความบันเทิงตามประสาของผู้ที่มีความ “อยากรู้” ทั้งหลายถือเป็นการ ศึกษา ต่อยอดความรู้เดิมที่ตนมีอยู่ หรือจะเพื่อดูหนัง ฟังเพลง สันทนาการพักผ่อนหย่อนใจ อะไรก็แล้วแต่ นับวันผู้คนในสังคมที่มีความรู้ความสามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อเล่น อินเตอร์เน็ตดังกล่าวจะมีจำนวนเพิ่มมาก ขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจะสังเกตได้จากจำนวนร้านให้บริการอินเตอร์เน็ตที่เปิดให้บริการกันอย่าง มากมาย เกือบจะทุกท้องถนนซอกซอยในกรุงเทพ มหานครและเมืองใหญ่ทั่วไป 

  แต่ภัยจากการใช้อินเตอร์เน็ตที่เป็นภัยอย่าง ร้ายต่อสังคม และมีผลกระทบต่อความรู้สึกอย่างมากเรื่องหนึ่ง ก็คือ ปัญหาการล่อลวงทางอินเตอร์เน็ต จากการ chat ห้องสนทนา หรือ โดยใช้โปรแกรมสนทนาของเว็บไซต์ชื่อดัง เพื่อ chat หรือพูดคุยผ่านระบบเครือ ข่ายอินเตอร์เน็ต หรือการล่อลวงหญิงสาวจากเว็บไซต์จับหาคู่ ซึ่งมีอยู่ มากมายหลายเว็บไซต์ ซึ่งบางเว็บของต่างประเทศ เช่น เว็บที่มีชื่อเหมือนไม้ขีดไฟ มีทั้งชายและหญิงไทยจำนวนมาก โพสรูปลงในอินเตอร์ เน็ตจะด้วยตนเอง หรือคนอื่นโพสให้ก็แล้วแต่ ซึ่งโดยความเห็นส่วนตัว อยากให้ทุกมหาวิทยาลัย 

  การใช้กฎหมายเพื่อเข้ามาแก้ไขปัญหาการล่อลวงทางอินเตอร์เน็ต จะสามารถทำได้มากน้อยแค่ไหนนั้น เป็นประเด็นที่ประสงค์จะแลก เปลี่ยนทัศนคติกับผู้อ่านและสังคม เพื่อที่คนทุกเพศ จะได้ตระหนักถึงภัยร้ายของสังคมในลักษณะเช่นนี้ จากสถิติการข่มขืนเพียงช่วงระยะเวลา 8 ปี ระหว่างปี 2540- 2547 มีจำนวนคดีที่มากถึง 5,052 คดี อ้างอิงสถิติจากสำนักงานตำรวจแห่ง ชาติ ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วตามรายงาน ดังกล่าวช่วงอายุของเหยื่อจะอยู่ระหว่าง 20-30 ปี (อ้างอิงจากหนัง สือพิมพ์ข่าวสด ฉบับวันที่ 25 พฤษภา- คม 2548 หน้า 14) ซึ่งสถิติการล่อ ลวงทางอินเตอร์เน็ตเพื่อไปข่มขืนก็น่าที่จะถูกนำมารวมเป็นตัวเลขสถิติการ กระทำผิดในลักษณะที่กล่าวมานี้ด้วย 

 ในส่วนของกฎหมายที่น่าจะนำมา ใช้ลงโทษแก่ผู้กระทำผิดที่เข้ามาล่อลวงผู้เสียหายทางอินเตอร์เน็ต เพื่อไปข่มขืนกระทำชำเรา จะขอกล่าว ถึงเพียงเฉพาะตามประมวลกฎหมาย อาญา ลักษณะ 9 ความผิดเกี่ยวกับเพศจะแบ่งออกเป็น 6 ฐานใหญ่ๆ คือ 

 1. ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา 

2. ความผิดฐานกระทำอนาจาร 

3. ความผิดฐานเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือชักพาไปเพื่อการอนาจาร ซึ่งเด็ก หญิงหรือหญิง 

4. ความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจาร 

5. ความผิดฐานดำรงชีพจากรายได้ของหญิงซึ่งค้าประเวณี 

6. ความผิดฐานค้า หรือทำให้แพร่หลาย ซึ่งวัตถุหรือสิ่งของลามก 

  ความผิดฐานสำคัญที่สามารถนำมาปรับใช้กับการกระทำผิดกรณีล่อลวงทางอินเตอร์ เน็ต น่าจะอยู่ที่ข้อ 1 และ 2 โดยที่ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา อาจแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะ คือ ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราหญิงซึ่งมิใช่ภริยาของตน กับความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 15 ปี 
 ส่วนความ ผิดฐานกระทำอนาจาร ก็แบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะ คือ กระทำอนาจารแก่บุคคลอายุกว่า 15 ปี และกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นเพียงหนึ่งในกฎหมาย ซึ่งก็ยังมีกฎหมายฉบับอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับความผิดเกี่ยวกับเพศด้วย จากข้อเท็จจริงที่ผ่านมาจะเห็นว่า หลายคดีที่เกิดขึ้นจากการล่อลวง ทางอินเตอร์เน็ต ผู้เสียหายมักถูกล่อลวงด้วยการให้เกิดความรู้สึกสนิท สนมผ่านทางการ chat ด้วยโปรแกรม สนทนาหรือการสนทนาโต้ตอบกัน ทาง e-mail จนกระทั่งทำให้เกิดความรู้สึกถึงการอยากไปพบอยากเจอ เพื่อนใหม่คนนั้น การนัดหมายเจอกันตามสถานที่ต่างๆ จึงตามมาด้วยการลงเอยจากการถูกกระทำในสิ่งที่ไม่สมควร ไม่ว่าจะเป็นการข่มขืนกระทำชำเรา หรืออนาจาร ซึ่งตามข่าวส่วนใหญ่จะเป็นในวันที่นัดเจอกันนั่นเอง การดำเนินคดีตามกฎหมายภายหลังเกิดเหตุ ถ้าเป็นในกรณีการล่อลวงที่เกิดขึ้นผู้ใหญ่ที่บรรลุนิติ ภาวะ ถ้าเกิดการยอมความกันได้ ก็คงจะแล้วไป แต่กรณีของเด็กหรือเยาวชน อาจจะยอมความไม่ได้ ซึ่งก็ต้องมาดูข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นประกอบกับข้อกฎหมายแต่ละคดีไป 

เมื่อ เกิดเหตุการณ์การล่อลวงทางอินเตอร์เน็ตจนนำไปสู่การข่มขืน หรืออนาจาร หรือร้ายแรงจนกระทั่งเสียชีวิตเกิดขึ้นด้วย หรือไม่ก็ตามจากการสนทนาผ่านโปรแกรมสนทนา ของเว็บไซต์ชื่อดัง หรือจะโดย e-mail มักจะมีคำถามจากบางท่านในสังคมที่กล่าวถึงกฎหมายว่า มีกฎหมายที่เข้ามาจัดการกับคนไม่ดี หรือมารร้าย สังคมเหล่านี้หรือไม่ หรือกฎหมายที่มีขณะนี้ยังมีบทลงโทษเบาเกินไปแก่ผู้กระทำผิด หรือกฎหมายไม่ทันสมัย และอื่นๆ ตามความรู้สึกนึกคิด หรือทัศนคติมุมมองของแต่ละท่าน 

แต่สำหรับบทความนี้ อยากจะสะท้อนมุมมองความคิดอีกด้านหนึ่งให้สังคมคิดเห็นกันว่า ปัญหาภัยสังคม ที่เกิดจากบุคคลบางคนที่อาศัยเทคโนโลยี เพื่อแสวงความต้องการที่ไม่ถูกต้อง แก่ตน เช่นกรณีการล่อลวงทางอิน เตอร์เน็ตนี้ อาจจะไม่สามารถแก้ไข ปัญหาได้ด้วยกฎหมายแต่เพียง อย่างเดียว เพราะเราไม่สามารถออก กฎหมายห้ามคนใช้อินเตอร์เน็ตได้ เช่นเดียวกับการห้ามคนไม่ดีใช้อินเตอร์เน็ต กฎหมายเป็นบทลงโทษที่นำมาใช้ลงโทษผู้กระทำผิด หรือสามารถปรามการกระทำความผิดได้โดยการเพิ่มบทลงโทษอย่างรุนแรงแก่ผู้กระทำ ผิด เพราะคนไม่ดีในสังคมทุกวันนี้ 

บางคนรู้กฎหมาย แต่ จิตสำนึกหรือวุฒิภาวะของคนแต่ละคนไม่เท่ากันในเรื่องของคุณความดี ความผิด ความถูก การสร้างจิตสำนึก และความรู้สึกดีงาม จึงน่าจะเป็นเรื่อง สำคัญมาก่อนเป็นลำดับแรก สำหรับฝ่ายที่อาจถูกกระทำ ซึ่งอาจเกิดได้กับคนทุกเพศและทุกวัยโดยเฉพาะนักเรียนนักศึกษา สังคมไทยเราทุกวันนี้ หลายคนจะมีความเครียดจากการเรียน ในกรณีของเด็กหรือเยาวชน ความเครียดจากการทำงานในกรณีของผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นชายและหญิง บางครั้งการคลายเครียดด้วยการได้พูดคุยกับคนที่ไม่เห็นหน้า หรือบางครั้งได้ ยินแต่เสียง และเขาคนนั้นสามารถทำให้เรามีกำลังใจในการต่อสู้ชีวิต มีความรู้สึกดีๆ มีความคาดหวัง มีความใฝ่ฝัน 

 ซึ่งสิ่งที่กล่าวมานี้เกิดขึ้นได้กับ คนทุกคนที่ใช้อินเตอร์เน็ต โดยการ chat เพื่อหาเพื่อนใหม่ หาคน ที่เข้าใจเรา หรือหาคนที่เข้ามาเติมเต็มส่วนที่ขาดหายในชีวิต หรือบาง คนที่ต้องการหาคู่ครองที่อยู่ในอุดม คติของตัวเอง บางท่านคิดไกลไปถึงคู่ครองที่เป็นชาวต่างชาติ ซึ่งกรณีนี้อาจเป็นเหตุผลความชอบส่วนตัว เหตุต่างๆ เหล่านี้ จะไม่สามารถก่อให้ เกิดปัญหาการล่อลวงทางอินเตอร์เน็ต ตามมาได้เลย ถ้าคนที่เข้าไป Chat มีจิตใจที่เข้มแข็ง มิได้อยู่ในสภาวะที่อ่อนไหวในขณะนั้น และฝ่ายที่อาจถูกกระทำเพียงต้องการ chat เพื่อหาเพื่อนใหม่ หรือฝึกภาษาจริงๆ เช่น นั้น ก็ไม่น่าจะมีปัญหาแต่ประการใด ปัญหาการล่อลวงทางอินเตอร์เน็ตในส่วนของผู้ที่อาจถูกกระทำ 

 จึงน่า สามารถแก้ไขปัญหาเบื้องต้นได้จากตัวของแต่ละท่านนั่นเอง ผู้ไม่ประสงค์ดี จะคนไทยหรือคนต่างชาติก็มักจะคาดเดาได้ถึงอารมณ์ ความเหงา ความฝันที่ต้องการค้นหาจากชายหนุ่ม ความต้องการเหล่านี้คือจุดที่นำมาใช้ในการล่อลวงฝ่ายที่อาจถูกกระทำหรือผู้ เสียหายนั่นเอง และอาจเป็นเพราะผู้หญิงส่วนใหญ่จะมอง โลกในแง่ดี การล่อลวงจึงทำได้ง่าย การ chat ในอินเตอร์เน็ต เป็นการ สนทนาสื่อสารโดยตัวหนังสือเท่านั้น อากัปกิริยาไม่ได้เห็นผู้ไม่ประสงค์ดี 

จึง สามารถเป็นทุกสิ่งทุกอย่างได้ ตามที่คู่สนทนาอีกฝ่ายจินตนาการหรือ อยากให้เป็น อินเตอร์เน็ตจึงเป็นเพียง สังคมสมมติ เป็นโลกเสมือนจริง ที่ทุกคนสามารถสร้างตัวตนให้ดีเลิเพียงใดก็ได้ อีกทั้งข้อมูลในอินเตอร์เน็ต เป็นข้อมูลที่ไม่สามารถยืนยันความถูกต้องได้ ฉะนั้นพระเอกในโลก อินเตอร์เน็ตอาจจะเป็นซาตานในโลกแห่งความจริงก็ได้ 

   ท้ายที่สุดนี้ แม้ปัญหาการ ล่อลวงทางอินเตอร์เน็ตเพื่อไปข่มขืนกระทำชำเรา หรืออนาจารจะ เป็นเพียงหนึ่งในคดีความอาญาหลายเรื่องๆ ที่เคยเกิดขึ้นในสังคมไทย แต่ปัญหาในลักษณะเช่นนี้ก็ไม่ ควรเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า หรือหวน กลับมาเกิดขึ้นอีก กฎหมายไม่สามารถแก้ปัญหาให้คนคิดเลิก ทำชั่วหรือป้องกันปัญหาได้อย่าง 100% แต่พวกเราทุกคนสามารถเริ่มป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้น หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ผู้ที่อาจถูกกระทำ ได้เข้าใจ และป้องกันตัวเองได้จากภัยสังคมที่อาจจะเกิดขึ้นได้กับท่าน 

 ที่มาhttp://www.thaicleannet.com/modules.php?name=News&file=article&sid=10479