อินเตอร์เน็ต” ได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของคนเรา ทั้งเด็ก เยาวชน ผู้ใหญ่ หรือแม้แต่ผู้ที่อยู่ในสถานะนักเรียน นักศึกษา ที่ประสงค์จะต้องใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการท่องโลกในอินเตอร์เน็ต หาความรู้ใหม่ๆ หรือความบันเทิงตามประสาของผู้ที่มีความ “อยากรู้” ทั้งหลายถือเป็นการ ศึกษา ต่อยอดความรู้เดิมที่ตนมีอยู่ หรือจะเพื่อดูหนัง ฟังเพลง สันทนาการพักผ่อนหย่อนใจ อะไรก็แล้วแต่ นับวันผู้คนในสังคมที่มีความรู้ความสามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อเล่น อินเตอร์เน็ตดังกล่าวจะมีจำนวนเพิ่มมาก ขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจะสังเกตได้จากจำนวนร้านให้บริการอินเตอร์เน็ตที่เปิดให้บริการกันอย่าง มากมาย เกือบจะทุกท้องถนนซอกซอยในกรุงเทพ มหานครและเมืองใหญ่ทั่วไป
แต่ภัยจากการใช้อินเตอร์เน็ตที่เป็นภัยอย่าง ร้ายต่อสังคม และมีผลกระทบต่อความรู้สึกอย่างมากเรื่องหนึ่ง ก็คือ ปัญหาการล่อลวงทางอินเตอร์เน็ต จากการ chat ห้องสนทนา หรือ โดยใช้โปรแกรมสนทนาของเว็บไซต์ชื่อดัง เพื่อ chat หรือพูดคุยผ่านระบบเครือ ข่ายอินเตอร์เน็ต หรือการล่อลวงหญิงสาวจากเว็บไซต์จับหาคู่ ซึ่งมีอยู่ มากมายหลายเว็บไซต์ ซึ่งบางเว็บของต่างประเทศ เช่น เว็บที่มีชื่อเหมือนไม้ขีดไฟ มีทั้งชายและหญิงไทยจำนวนมาก โพสรูปลงในอินเตอร์ เน็ตจะด้วยตนเอง หรือคนอื่นโพสให้ก็แล้วแต่ ซึ่งโดยความเห็นส่วนตัว อยากให้ทุกมหาวิทยาลัย
การใช้กฎหมายเพื่อเข้ามาแก้ไขปัญหาการล่อลวงทางอินเตอร์เน็ต จะสามารถทำได้มากน้อยแค่ไหนนั้น เป็นประเด็นที่ประสงค์จะแลก เปลี่ยนทัศนคติกับผู้อ่านและสังคม เพื่อที่คนทุกเพศ จะได้ตระหนักถึงภัยร้ายของสังคมในลักษณะเช่นนี้ จากสถิติการข่มขืนเพียงช่วงระยะเวลา 8 ปี ระหว่างปี 2540- 2547 มีจำนวนคดีที่มากถึง 5,052 คดี อ้างอิงสถิติจากสำนักงานตำรวจแห่ง ชาติ ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วตามรายงาน ดังกล่าวช่วงอายุของเหยื่อจะอยู่ระหว่าง 20-30 ปี (อ้างอิงจากหนัง สือพิมพ์ข่าวสด ฉบับวันที่ 25 พฤษภา- คม 2548 หน้า 14) ซึ่งสถิติการล่อ ลวงทางอินเตอร์เน็ตเพื่อไปข่มขืนก็น่าที่จะถูกนำมารวมเป็นตัวเลขสถิติการ กระทำผิดในลักษณะที่กล่าวมานี้ด้วย
ในส่วนของกฎหมายที่น่าจะนำมา ใช้ลงโทษแก่ผู้กระทำผิดที่เข้ามาล่อลวงผู้เสียหายทางอินเตอร์เน็ต เพื่อไปข่มขืนกระทำชำเรา จะขอกล่าว ถึงเพียงเฉพาะตามประมวลกฎหมาย อาญา ลักษณะ 9 ความผิดเกี่ยวกับเพศจะแบ่งออกเป็น 6 ฐานใหญ่ๆ คือ
1. ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา
2. ความผิดฐานกระทำอนาจาร
3. ความผิดฐานเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือชักพาไปเพื่อการอนาจาร ซึ่งเด็ก หญิงหรือหญิง
4. ความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจาร
5. ความผิดฐานดำรงชีพจากรายได้ของหญิงซึ่งค้าประเวณี
6. ความผิดฐานค้า หรือทำให้แพร่หลาย ซึ่งวัตถุหรือสิ่งของลามก
ความผิดฐานสำคัญที่สามารถนำมาปรับใช้กับการกระทำผิดกรณีล่อลวงทางอินเตอร์ เน็ต น่าจะอยู่ที่ข้อ 1 และ 2 โดยที่ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา อาจแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะ คือ ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราหญิงซึ่งมิใช่ภริยาของตน กับความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 15 ปี
ส่วนความ ผิดฐานกระทำอนาจาร ก็แบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะ คือ กระทำอนาจารแก่บุคคลอายุกว่า 15 ปี และกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นเพียงหนึ่งในกฎหมาย ซึ่งก็ยังมีกฎหมายฉบับอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับความผิดเกี่ยวกับเพศด้วย จากข้อเท็จจริงที่ผ่านมาจะเห็นว่า หลายคดีที่เกิดขึ้นจากการล่อลวง ทางอินเตอร์เน็ต ผู้เสียหายมักถูกล่อลวงด้วยการให้เกิดความรู้สึกสนิท สนมผ่านทางการ chat ด้วยโปรแกรม สนทนาหรือการสนทนาโต้ตอบกัน ทาง e-mail จนกระทั่งทำให้เกิดความรู้สึกถึงการอยากไปพบอยากเจอ เพื่อนใหม่คนนั้น การนัดหมายเจอกันตามสถานที่ต่างๆ จึงตามมาด้วยการลงเอยจากการถูกกระทำในสิ่งที่ไม่สมควร ไม่ว่าจะเป็นการข่มขืนกระทำชำเรา หรืออนาจาร ซึ่งตามข่าวส่วนใหญ่จะเป็นในวันที่นัดเจอกันนั่นเอง การดำเนินคดีตามกฎหมายภายหลังเกิดเหตุ ถ้าเป็นในกรณีการล่อลวงที่เกิดขึ้นผู้ใหญ่ที่บรรลุนิติ ภาวะ ถ้าเกิดการยอมความกันได้ ก็คงจะแล้วไป แต่กรณีของเด็กหรือเยาวชน อาจจะยอมความไม่ได้ ซึ่งก็ต้องมาดูข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นประกอบกับข้อกฎหมายแต่ละคดีไป
เมื่อ เกิดเหตุการณ์การล่อลวงทางอินเตอร์เน็ตจนนำไปสู่การข่มขืน หรืออนาจาร หรือร้ายแรงจนกระทั่งเสียชีวิตเกิดขึ้นด้วย หรือไม่ก็ตามจากการสนทนาผ่านโปรแกรมสนทนา ของเว็บไซต์ชื่อดัง หรือจะโดย e-mail มักจะมีคำถามจากบางท่านในสังคมที่กล่าวถึงกฎหมายว่า มีกฎหมายที่เข้ามาจัดการกับคนไม่ดี หรือมารร้าย สังคมเหล่านี้หรือไม่ หรือกฎหมายที่มีขณะนี้ยังมีบทลงโทษเบาเกินไปแก่ผู้กระทำผิด หรือกฎหมายไม่ทันสมัย และอื่นๆ ตามความรู้สึกนึกคิด หรือทัศนคติมุมมองของแต่ละท่าน
แต่สำหรับบทความนี้ อยากจะสะท้อนมุมมองความคิดอีกด้านหนึ่งให้สังคมคิดเห็นกันว่า ปัญหาภัยสังคม ที่เกิดจากบุคคลบางคนที่อาศัยเทคโนโลยี เพื่อแสวงความต้องการที่ไม่ถูกต้อง แก่ตน เช่นกรณีการล่อลวงทางอิน เตอร์เน็ตนี้ อาจจะไม่สามารถแก้ไข ปัญหาได้ด้วยกฎหมายแต่เพียง อย่างเดียว เพราะเราไม่สามารถออก กฎหมายห้ามคนใช้อินเตอร์เน็ตได้ เช่นเดียวกับการห้ามคนไม่ดีใช้อินเตอร์เน็ต กฎหมายเป็นบทลงโทษที่นำมาใช้ลงโทษผู้กระทำผิด หรือสามารถปรามการกระทำความผิดได้โดยการเพิ่มบทลงโทษอย่างรุนแรงแก่ผู้กระทำ ผิด เพราะคนไม่ดีในสังคมทุกวันนี้
บางคนรู้กฎหมาย แต่ จิตสำนึกหรือวุฒิภาวะของคนแต่ละคนไม่เท่ากันในเรื่องของคุณความดี ความผิด ความถูก การสร้างจิตสำนึก และความรู้สึกดีงาม จึงน่าจะเป็นเรื่อง สำคัญมาก่อนเป็นลำดับแรก สำหรับฝ่ายที่อาจถูกกระทำ ซึ่งอาจเกิดได้กับคนทุกเพศและทุกวัยโดยเฉพาะนักเรียนนักศึกษา สังคมไทยเราทุกวันนี้ หลายคนจะมีความเครียดจากการเรียน ในกรณีของเด็กหรือเยาวชน ความเครียดจากการทำงานในกรณีของผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นชายและหญิง บางครั้งการคลายเครียดด้วยการได้พูดคุยกับคนที่ไม่เห็นหน้า หรือบางครั้งได้ ยินแต่เสียง และเขาคนนั้นสามารถทำให้เรามีกำลังใจในการต่อสู้ชีวิต มีความรู้สึกดีๆ มีความคาดหวัง มีความใฝ่ฝัน
ซึ่งสิ่งที่กล่าวมานี้เกิดขึ้นได้กับ คนทุกคนที่ใช้อินเตอร์เน็ต โดยการ chat เพื่อหาเพื่อนใหม่ หาคน ที่เข้าใจเรา หรือหาคนที่เข้ามาเติมเต็มส่วนที่ขาดหายในชีวิต หรือบาง คนที่ต้องการหาคู่ครองที่อยู่ในอุดม คติของตัวเอง บางท่านคิดไกลไปถึงคู่ครองที่เป็นชาวต่างชาติ ซึ่งกรณีนี้อาจเป็นเหตุผลความชอบส่วนตัว เหตุต่างๆ เหล่านี้ จะไม่สามารถก่อให้ เกิดปัญหาการล่อลวงทางอินเตอร์เน็ต ตามมาได้เลย ถ้าคนที่เข้าไป Chat มีจิตใจที่เข้มแข็ง มิได้อยู่ในสภาวะที่อ่อนไหวในขณะนั้น และฝ่ายที่อาจถูกกระทำเพียงต้องการ chat เพื่อหาเพื่อนใหม่ หรือฝึกภาษาจริงๆ เช่น นั้น ก็ไม่น่าจะมีปัญหาแต่ประการใด ปัญหาการล่อลวงทางอินเตอร์เน็ตในส่วนของผู้ที่อาจถูกกระทำ
จึงน่า สามารถแก้ไขปัญหาเบื้องต้นได้จากตัวของแต่ละท่านนั่นเอง ผู้ไม่ประสงค์ดี จะคนไทยหรือคนต่างชาติก็มักจะคาดเดาได้ถึงอารมณ์ ความเหงา ความฝันที่ต้องการค้นหาจากชายหนุ่ม ความต้องการเหล่านี้คือจุดที่นำมาใช้ในการล่อลวงฝ่ายที่อาจถูกกระทำหรือผู้ เสียหายนั่นเอง และอาจเป็นเพราะผู้หญิงส่วนใหญ่จะมอง โลกในแง่ดี การล่อลวงจึงทำได้ง่าย การ chat ในอินเตอร์เน็ต เป็นการ สนทนาสื่อสารโดยตัวหนังสือเท่านั้น อากัปกิริยาไม่ได้เห็นผู้ไม่ประสงค์ดี
จึง สามารถเป็นทุกสิ่งทุกอย่างได้ ตามที่คู่สนทนาอีกฝ่ายจินตนาการหรือ อยากให้เป็น อินเตอร์เน็ตจึงเป็นเพียง สังคมสมมติ เป็นโลกเสมือนจริง ที่ทุกคนสามารถสร้างตัวตนให้ดีเลิเพียงใดก็ได้ อีกทั้งข้อมูลในอินเตอร์เน็ต เป็นข้อมูลที่ไม่สามารถยืนยันความถูกต้องได้ ฉะนั้นพระเอกในโลก อินเตอร์เน็ตอาจจะเป็นซาตานในโลกแห่งความจริงก็ได้
ท้ายที่สุดนี้ แม้ปัญหาการ ล่อลวงทางอินเตอร์เน็ตเพื่อไปข่มขืนกระทำชำเรา หรืออนาจารจะ เป็นเพียงหนึ่งในคดีความอาญาหลายเรื่องๆ ที่เคยเกิดขึ้นในสังคมไทย แต่ปัญหาในลักษณะเช่นนี้ก็ไม่ ควรเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า หรือหวน กลับมาเกิดขึ้นอีก กฎหมายไม่สามารถแก้ปัญหาให้คนคิดเลิก ทำชั่วหรือป้องกันปัญหาได้อย่าง 100% แต่พวกเราทุกคนสามารถเริ่มป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้น หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ผู้ที่อาจถูกกระทำ ได้เข้าใจ และป้องกันตัวเองได้จากภัยสังคมที่อาจจะเกิดขึ้นได้กับท่าน
ที่มาhttp://www.thaicleannet.com/modules.php?name=News&file=article&sid=10479
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น